เคยไหมคะ โมเมนต์ Dead Air ที่น่าอึดอัดที่สุดในกองถ่าย ไม่ใช่ตอนลืมบท แต่เป็นตอนที่คุณต้องพูดว่า เอ่อ ขออนุญาตติดไมค์นะคะ แล้วต้องเริ่มสอดสายไมค์ lavalier เข้าไปใต้เสื้อของตัวแบบหรือลูกค้า ความเก้ๆ กังๆ ที่ไม่ว่าจะเป็น Creator Youtuber หรือ Videographer ก็ต้องเคยเจอ
ความจริงก็คืองานเสียง ไม่ได้จบแค่เสียงชัด ไม่มี Noise แต่ยังรวมถึงประสบการณ์ ที่เรามอบให้ตัวแบบด้วย ถ้าเราติดไมค์แบบไม่เป็นมืออาชีพ มันอาจทำให้ ตัวแบบ เกร็ง ไม่สบายตัว และส่งผลโดยตรงต่อ Performance หน้ากล้องของพวกเขาเลยก็ได้
ไม่ต้องห่วงค่ะ บทความนี้จะนำเสนอ 5 เทคนิคสำคัญ ที่จะยกระดับการทำงานของคุณ จากเพียงแค่คนติดไมค์ไปสู่ Sound Professional ที่สร้างความไว้วางใจ ด้วยการผสาน Soft Skill เข้ากับการเลือกใช้เครื่องมือที่ถูกต้อง
1. กลยุทธ์การวางแผน
จุดเริ่มต้นของความเป็นมืออาชีพคือการเตรียมตัว การสอบถามเรื่องการแต่งกายล่วงหน้าไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะเสื้อผ้าคือ Location ที่ไมโครโฟนของเราจะไปอาศัยอยู่
เนื้อผ้าที่แตกต่างกันสร้างปัญหาเสียงที่ต่างกัน ผ้าเดนิมแข็งๆ ผ้าไนลอนที่ลื่นและเกิดไฟฟ้าสถิต หรือผ้าที่มีแป้งแข็ง (Starched Cotton) ล้วนสามารถสร้างเสียงเสียดสีที่เป็นหายนะของงานเสียงได้
การส่งข้อความหรืออีเมลหาตัวแบบล่วงหน้าว่า วันถ่ายทำจะใส่ชุดประมาณไหน เพื่อจะได้เตรียมอุปกรณ์ติดไมค์ให้เหมาะสม จะช่วยให้เราวางแผนรับมือได้ถูกจุด หากมีโอกาส แนะนำให้พวกเขาหลีกเลี่ยงเสื้อคอเต่าที่รัดแน่น หรือเครื่องประดับที่อาจแกว่งมากระทบไมค์
2. การสื่อสารและการสร้างพื้นที่ปลอดภัย
นี่คือหัวใจสำคัญที่สุดในการสร้างความไว้วางใจ ต้องตระหนักเสมอว่าเรากำลังก้าวเข้าสู่ พื้นที่ส่วนตัวของผู้อื่น คำว่า ขออนุญาตติดไมค์ ต้องมาก่อนเสมอ
เทคนิคการสื่อสารแบบมืออาชีพคือการอธิบายให้ชัดเจนว่าจะทำอะไร เช่น เดี๋ยวผมจะสอดสายไมค์ไว้ใต้เสื้อนะครับ หรือ ผมจะหนีบตัวส่งสัญญาณ (Transmitter) ไว้ที่ขอบกางเกงด้านหลัง
และขั้นสูงสุดของความโปรคือ การให้ทางเลือก
สะดวกให้ผมช่วยติด หรืออยากลองติดเองไหมครับ หลายคนสะดวกใจที่จะติดเองมากกว่า หน้าที่ของเราคือเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม เช่น ติดเทปที่ไมค์ไว้ให้เขาหยิบไปแปะได้ทันที
3. เลือกเครื่องมือที่ แก้ปัญหา ไม่ใช่สร้างปัญหา

มือใหม่มักคว้าเทปกาฟเฟอร์ (Gaffer Tape) มาแปะไมค์กับผิวหนัง ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดร้ายแรง เทปชนิดนี้ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อการนี้และอาจสร้างความระคายเคืองอย่างรุนแรง หรือแม้แต่คลิปหนีบปกเสื้อที่แถมมา ก็อาจทำลายเนื้อผ้าดีๆ ของตัวแบบได้
การยึดติดความท้าทายคือการยึดไมค์ให้อยู่กับที่ ควรเลือกใช้เทปเกรดการแพทย์ (Hypallergenic) ที่ทดสอบแล้วว่าไม่ก่อให้เกิดการแพ้ เช่น เทปสองหน้าใส (อย่าง Saramonic CineBuff Tape) สำหรับติดไมค์เข้ากับผิวหนังหรือเสื้อผ้าโดยตรง หรือเทป Moleskin (อย่าง CineBuff Soft Tape) เพื่อซ่อนไมค์และลดเสียงเสียดสีจากเนื้อผ้า
การลดเสียงรบกวนเสียงเสื้อผ้าเสียดสีคือศัตรูตัวฉกาจ การใช้แผ่นโฟมสำเร็จรูป (อย่าง CineBuff Foamies หรือ Stickies) จะช่วยสร้าง บัฟเฟอร์ หรือช่องว่างระหว่างไมค์กับเนื้อผ้า ทำหน้าที่เป็นโช้คอัพดูดซับการสั่นสะเทือนและลดเสียงขยับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การรับมือกับสภาพแวดล้อม เมื่อถ่ายนอกสถานที่ เสียงลมคือปัญหา ควรใช้ขนแมวกันลม (Windshield) ที่มีความหนาแน่นสูง (อย่าง CineBuff Fur Square) เพื่อป้องกันเสียงลมกระแทกแคปซูลไมค์
การซ่อนตัวส่งสัญญาณอย่าลืมว่างานไม่ได้จบที่ตัวไมค์ การหนีบตัวส่งสัญญาณไว้ที่เข็มขัดหรือขอบกางเกงอาจทำให้ตัวแบบอึดอัด การใช้สายรัดที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ (อย่าง Saramonic CineBuff Strap) ซึ่งทำจากผ้ายืดหยุ่น ระบายเหงื่อ และบางเฉียบ จะช่วยให้ตัวแบบเคลื่อนไหวได้สะดวกสบายจนลืมไปว่ากำลังติดไมค์อยู่

4. เทคนิค Strain Relief Loop ลดเสียงกระแทก
หากคุณเคยเห็น Sound Guy มืออาชีพทำ ห่วง เล็กๆ ที่สายไมค์ก่อนจะแปะเทป นั่นคือเทคนิคที่เรียกว่า Strain Relief Loop
อธิบายง่ายๆ มันคือ โช้คอัพของสายไมค์
ห่วงนี้ช่วยป้องกันไม่ให้เสียงดึงรั้ง หรือเสียง ตุ้บตั้บ จากการขยับตัวเร็ว ๆ วิ่งตรงเข้าสู่แคปซูลไมค์ การทำสิ่งนี้ให้ตัวแบบเห็น (และอธิบายสั้นๆ หากเขาถาม) จะทำให้เขาประทับใจในความละเอียดรอบคอบของคุณทันที (อุปกรณ์อย่าง CineBuff Strap มักจะมีช่องให้สอดสายเคเบิลเพื่อทำ Loop นี้ได้)
5. ทดสอบการเคลื่อนไหว ไม่ใช่แค่การพูด
อย่าพลาดตอนจบ มืออาชีพจะไม่ทดสอบเสียงแค่ เทสๆ 1 2 3 เพราะตอนถ่ายจริง ตัวแบบไม่ได้ยืนนิ่งๆ
ขั้นตอนสุดท้ายคือการจำลองสถานการณ์จริง
ให้ตัวแบบพูดด้วยระดับเสียงจริง ไม่ใช่การกระซิบ และที่สำคัญที่สุด ให้ตัวแบบ ขยับตัว เช่น ลองนั่ง ยืน ยกแขน หรือหันซ้ายขวาเหมือนตอนแสดงจริง
เป้าหมายคือการ ค้นหาปัญหา เรากำลังฟังเสียงเสื้อผ้าเสียดสี และเช็กว่าเสียงที่ได้ บาง หรือ บวม ไปหรือไม่ การแก้ปัญหาหน้างาน ดีกว่าการไปปวดหัวในห้องตัดต่อเสมอ

การที่ตัวแบบรู้สึกสบายตัวและมั่นใจในทีมงาน เพราะรู้ว่าเราใช้ของคุณภาพอย่าง CineBuff Tape ที่ไม่ทำให้เขาแพ้ หรือ CineBuff Strap ที่ใส่สบายจนลืมไปเลยว่ามีอยู่ จะส่งผลโดยตรงต่อ Performance ที่เป็นธรรมชาติของเขา และนั่นคือสิ่งที่ยกระดับคุณภาพงาน ของคุณอย่างแท้จริงค่ะ
แล้วคุณล่ะ มีเทคนิค Soft Skill หรือทริคเด็ดๆ อะไรในการทำงานกับตัวแบบอีกบ้าง หรือถ้าอยากอัปเกรด Gear Kit ของคุณให้โปรขึ้น คลิกดูชุดอุปกรณ์ซ่อนไมค์สำหรับมือโปร Saramonic CineBuff ทั้งหมดได้เลยที่นี่







