เคยไหมคะ อาการ ตาแฉะ หลังกองถ่าย ที่ไม่ได้เกิดจากการถ่ายงานหนัก แต่เกิดจากการนั่งจ้องเส้น Waveform ใน Premiere Pro หรือ DaVinci Resolve พยายามลากคลิปจากกล้อง 3 ตัวบวกกับไฟล์เสียงอีก 1 ให้มันตรงกันเป๊ะๆ
ในขณะที่เรากำลังนั่ง ขยับทีละเฟรม พวกมือโปรเขามี อาวุธลับ ที่เรียกว่า Timecode Generator ที่ช่วยให้งานน่าปวดหัวนี้เสร็จในคลิกเดียว ประหยัดเวลาตัดต่อได้มากถึง 80%
แต่ทำไม Youtuber มือใหม่ถึงไม่ค่อยกล้าใช้กัน ส่วนใหญ่เพราะ ความเชื่อผิดๆ 5 ข้อนี้ค่ะ วันนี้เราจะมาทำลายกำแพงความกลัวนี้ไปทีละข้อ แล้วคุณจะรู้ว่าจริงๆ แล้วมันง่ายมาก
1. ความเข้าใจผิด : Timecode เป็นเทคโนโลยีราคาสูงสำหรับกองถ่ายขนาดใหญ่
นี่อาจเป็นความจริงเมื่อทศวรรษก่อน แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีได้เปลี่ยนไปแล้ว Creator สามารถเข้าถึง Timecode Generator คุณภาพสูงได้ในราคาที่จับต้องได้
ยกตัวอย่างเช่น Saramonic TC-NEO ที่มีราคาเริ่มต้นเพียง 4,790 บาท หรือในชุด 3 ตัวสำหรับกล้องหลายตัวในราคา 15,900 บาท เมื่อเทียบกับเวลาตัดต่อ 2-5 ชั่วโมงที่ประหยัดได้ต่องาน การลงทุนนี้จึงถือว่าคุ้มค่าอย่างรวดเร็ว
2. ความเข้าใจผิด: การตั้งค่าซับซ้อน ต้องใช้ความเชี่ยวชาญระดับมืออาชีพ
อุปกรณ์สมัยใหม่ถูกออกแบบมาเพื่อ Creator ไม่ใช่แค่วิศวกร ในปัจจุบัน หากคุณใช้แอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนเป็น คุณก็สามารถตั้งค่า Timecode ได้
Saramonic TC-NEO ถูกควบคุมเกือบทั้งหมดผ่าน Saramonic System App ผู้ใช้สามารถเลือก Frame Rate (เช่น 24fps, 30fps), กำหนดตัวหลัก (Master) และสั่ง Jam Sync (การซิงก์เวลา) ไปยังอุปกรณ์ Slave ทั้งหมดได้แบบไร้สายผ่าน Bluetooth หรือ 2.4GHz

นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังมีหน้าจอ OLED ขนาด 1.1 นิ้ว และปุ่มหมุนที่ใช้งานง่ายสำหรับการตั้งค่าโดยตรง ทำให้กระบวนการทั้งหมดรวดเร็วและแม่นยำ
3. ความเข้าใจผิด : กล้อง Mirrorless หรือ Action Cam ไม่มีพอร์ต Timecode เฉพาะ
นี่คือหนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบบ่อยที่สุด กล้องส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องมีพอร์ต Timecode In/Out โดยตรง แต่เราใช้สิ่งที่เรียกว่า Audio Timecode (ATC)
ในทางเทคนิค สัญญาณ Timecode (ที่เรียกว่า LTC หรือ Linear Timecode) คือสัญญาณเสียงรูปแบบหนึ่ง (มีเสียงคล้ายโมเด็มยุค 90) เราเพียงแค่ป้อนสัญญาณเสียงนี้ผ่านสาย 3.5mm เข้าไปที่ช่องไมโครโฟนของกล้อง
กล้องจะบันทึกสัญญาณนี้ลงใน Audio Track (เช่น ช่องเสียงด้านซ้าย L) เมื่อนำเข้าโปรแกรมตัดต่อ ซอฟต์แวร์จะอ่านสัญญาณเสียงนี้และทำการซิงก์ฟุตเทจทั้งหมดให้ตรงกันโดยอัตโนมัติ
4. ความเข้าใจผิด : ใช้ Waveform Sync ในโปรแกรมตัดต่อก็เพียงพอแล้ว
การซิงก์ด้วย Waveform นั้นมีประโยชน์ แต่ก็มีจุดอ่อนร้ายแรงและไม่น่าเชื่อถือเพียงพอในสภาพแวดล้อมจริง Waveform Sync จะล้มเหลวทันทีหากเสียงในงานดังเกินไป เช่น งานคอนเสิร์ต หรืองานอีเวนต์ริมถนน จนเสียง Ambient ในกล้องเละ หรือเบาเกินไป เช่น การถ่ายทำที่ตัวแบบอยู่ไกล หรือเสียงตบสเลท (Slate) ที่เบาเกินไป
ในทางกลับกัน Timecode ไม่สนใจความดังหรือเบาของเสียง มันซิงก์ด้วยเวลาที่แม่นยำ Saramonic TC-NEO ยังเพิ่มความได้เปรียบด้วยไมโครโฟนในตัว (Built-in reference mic) ทำให้มันบันทึกเสียง Timecode เข้าช่องซ้าย (L) และบันทึกเสียงบรรยากาศจริง (Ambient Sound) เข้าช่องขวา (R) เท่ากับว่า Editor จะได้ทั้ง Timecode Sync และ Waveform Sync เป็นตัวสำรองในไฟล์เดียว
5. ความเข้าใจผิด: กดอัดพร้อมกัน 2-3 กล้อง ก็สามารถ Sync ได้
วิธีกดอัดพร้อมกันอาจใช้ได้ผลกับการถ่ายคลิปสั้นๆ แต่สำหรับงานที่ยาวขึ้น เช่น Podcast 1 ชั่วโมง มันคือหายนะที่เรียกว่า Frame Drift นาฬิกาภายใน (Internal Clock) ของกล้องแต่ละตัว แม้จะเป็นรุ่นเดียวกัน ก็เดินไม่เท่ากันอย่างสมบูรณ์ เมื่อเวลาผ่านไป ฟุตเทจจะเริ่มเหลื่อม หรือคลาดเคลื่อนทีละเฟรม สองเฟรม จนกลายเป็นฝันร้ายของคนตัดต่อ
Timecode Generator ทำหน้าที่เป็นนาฬิกากลาง (Master Clock) ที่เที่ยงตรงสูงสำหรับทุกอุปกรณ์ TC-NEO ใช้คริสตัลออสซิลเลเตอร์แบบชดเชยอุณหภูมิ (TCXO) ที่มีความแม่นยำสูงถึง ±0.5 ppm ซึ่งหมายความว่ามันจะคลาดเคลื่อนน้อยกว่า 1 เฟรม แม้จะถ่ายทำต่อเนื่องถึง 48 ชั่วโมง ซึ่งเป็นความแม่นยำที่การกดอัดด้วยมือไม่มีทางทำได้

ความเข้าใจผิดทั้ง 5 ข้อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคา ความซับซ้อน การรองรับของกล้อง Waveform Sync หรือการกดอัดพร้อมกัน ไม่เป็นความจริงอีกต่อไปในยุคนี้
การลงทุนใน Timecode Generator อย่าง Saramonic TC-NEO ไม่ใช่การซื้ออุปกรณ์เสริม แต่คือการซื้อเวลา ในการตัดต่อของคุณกลับคืนมา ช่วยให้ Content Creator สามารถโฟกัสกับความคิดสร้างสรรค์ได้มากขึ้น
อ้างอิงข้อมูลจาก : https://www.saramonic.com/blogs/your-guide-to-timecode-generators-with-saramonic-tc-neo







